1.24.2559

ส่งให้พนักงานใหม่!..ตอบคำถาม..สามบวกหนึ่ง..เพื่อน้องใหม่หัวใจแข็งแรง! (ภาค 1)


น้องใหม่เข้ามาอีกแล้ว!....

คนเป็นหัวหน้าจะคิดเหมือนผมไหมนะ? ....ว่าการอบรมมากมาย ไม่ช่วยทำให้พนักงานใหม่คนหนึ่งดีได้...เท่ากับการที่ตัวเขาคิดจะทำดี...อยากได้ดี...ด้วยตัวของเขาเอง...

การตั้งทิศ...การมองโลกที่ถูกต้อง...ให้แก่น้องใหม่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก


บทความนี้...ถ้าสิ่งที่ผมเขียน...ที่กลั่นจากประสบการณ์ทำงานของตัวเองนั้นถูกต้อง...

มันน่าจะช่วยท่านหัวหน้าได้....ส่งไปให้น้องๆ อ่าน เพื่อปรับทัศน์...จะได้มองโลกอย่างคนที่แข็งแรงเค้ามองกัน...


-------------------------------------------------------------------

3 ทำไม....น้องใหม่รู้ไว้....หัวใจจะได้แข็งแรง! (ภาค 1 - แปลว่ายังมีต่อ)

นี่น่าจะเป็นคำถามในใจ...ที่พนักงานใหม่...มักจะมีมันเกิดขึ้นอยู่ในหัวบ่อยๆ

ทำไม 1
จบมาสูง....ทำไมต้องทำงานที่รู้สึกว่าต่ำต้อย?

      คิดไปเองอ่ะน้อง!....เอ็งคิดไปเองหนักเลยล่ะ....

จริงๆ แล้วทุกๆ งานนั้น ถ้าฝึกปรือจนเข้าใจถึงแก่น จนเชี่ยวชาญ บวกการรู้จักตั้งคำถาม การใส่ความคิดสร้างสรรค์เข้าไป...มันจะกลายเป็นท่าไม้ตายลับของคุณได้ทั้งสิ้น...

โดยส่วนตัวแล้ว ผมโดนให้ทำข้อมูลหรืองานวิเคราะห์ Database จำนวนมหาศาลมาตั้งแต่ยังเด็ก...ก็ต้องใช้ Excel มาตั้งแต่มือเปราะๆ...ใช้ไป...ค้นคว้าไป...คิดไป...วันหนึ่งเรากลายเป็นคนที่ทำงานคนเดียวได้มากกว่าคนหลายคนทำ...ก็เพราะเจ้า Excel Skill ที่ฝึกปรือมานี่ละคราบ...

เคยได้ยินว่า...ระดับ CEO ของ CP-ALL คุณก่อศักดิ์ ชัยรัศมีศักดิ์ ที่ผมติดตามงานเขียนท่านแทบทุกเล่ม...ท่านก็เริ่มงานจากพนักงานจัดซื้อทั่วไป...จัดซื้อจนรู้...จนเชี่ยวชาญในกลไกของตลาดค้าปลีก...

กลยุทธ์เจ๋งๆ...ที่เวลาเค้าเอามาเขียนเคสหรือตำรา...มันดูเท่ห์ดูเจ๋งสุดๆ ไปเลยใช่ไหม...คุณอ่านดูแล้วมันเหมือนง่าย...ก็แน่ละ...เค้าไม่ได้เขียนตอนที่มันล้มลุกคลุกคลาน...ตอนที่มันล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำอีก...แล้วก็ไม่ได้เขียนด้วยว่า...กว่าคนที่เค้าทำสำเร็จจะทำได้...ต้องผ่านไอ้เจ้างานที่คุณคิดว่าต่ำต้อยมาแล้วขนาดไหน....

ทำมันทุกอย่างที่ขวางหน้าไปเลยครับ...แต่ขอให้ใช้สมองพิจารณา เรียนรู้ และใช้ความคิดสร้างสรรค์ไปด้วย สร้างระบบให้สิ่งที่ทำมันง่ายขึ้น ต่อไปก็โอนให้คนอื่นมาดูแทน...เราก็ไปสร้างระบบใหม่อีก...



ทำไม 2
ทำไมไม่มีใครสอนงาน?

...ตรวจสอบตัวเองดูก่อน...ตอนนั่งรอคนมาสอนงาน...เราทำอะไร...นั่งกดมือถือเล่นรอหรือเปล่า?

ผมเคยเจอซุปเปอร์จี๊ดคนหนึ่ง...เขาเป็นเพื่อนผมเอง...ไม่ต้องมีคนสอนงาน...ตามหาเองทุกเรื่อง

      ไม่มีคนสอน...ก็ค้นข้อมูล...หาทุกอย่างที่มันมีอยู่ในที่ทำงานนั่นแหละ...ค้น...คุ้ย...เขี่ย...เอาหมด!
      ไม่มีการมอบหมายงาน...ก็ออกตลาด...ไปหาโจทย์ด้วยตัวเอง
      ไม่มีคำสั่งให้ทำอะไร...ก็หาอะไรทำไปเลย...เดี๋ยวอะไรไม่ใช่ก็มีคนบอกเองล่ะ...
      ไม่มีคนส่งไปอบรม...ตื่นตีสี่เข้า YouTube หา Course อบรมเองซะเลย...

ทำไปทำมา...ตอนนี้ปัญหาก็คือ...คนอื่นลำบากเพราะตามเขาไม่ทันซะแล้ว...

คือแบบนี้เรียกว่าเจ๋งครับ...แบบนี้ผมเรียกว่าคนคนนี้ได้ติดตั้ง โปรแกรมพัฒนาตัวเอง ไว้ในหัวใจ
คนประเภทนี้เดินเองได้...ยิ่งเดินมาก...ยิ่งเป็นคำถามต่อบริษัทว่า...จะตอบแทนเขาอย่างไร?

ขณะที่...คนอีกจำนวนมาก...บริษัทตั้งคำถามว่า...ทำไมอบรมไปตั้งมากมาย...มันไม่เคยดีขึ้นเลยฟะ!!??


คนเก่งๆ เค้าครูพักลักจำ กันทั้งนั้นแหละครับ....



ทำไม 3
ทำไมฉันต้องทำด้วย...งานนี้ไม่น่าใช่งานของฉันหรือเปล่า??

      ลองถามตัวเองกลับก่อน...นั่นไม่ใช่งานเราจริงๆ....หรือเรายังขาดความสามารถที่จะทำมันได้?

จากประสบการณ์ส่วนตัว ผมคิดว่า สิ่งที่มันไม่ใช่งานเราจริงๆ มันจะมีความชัดเจนสูง และปฏิเสธได้ไม่ยากหรอกครับ เช่น มันเป็นจำนวนเงินที่คุณอนุมัติไม่ได้อยู่แล้ว หรือคุณเป็นนักบัญชี แต่งานคือซ่อมระบบสาย LAN เป็นต้น...

แต่ที่มักเป็นปัญหาคือพวกงานที่มันเทาๆ Grey Area เช่น Power Point Presentation ของสินค้าใหม่...ตกลงมันควรเป็นงานของนักการตลาด หรือ Sales ควรจะเป็นคนทำ....???

คำแนะนำของผมคือ...ให้ตรวจสอบความคิดในใจ ถ้าตรงสองข้อนี้ ผมพอแนะนำได้นะ...

หนึ่ง: รู้สึกว่าตอนนี้งานเยอะมาก เหนื่อย ถ้ารับงานนี้เข้ามาอีกอาจตายได้
         เวลามีงานเทาๆ แบบนี้เข้ามา ให้ลองเขียนงานที่ต้องทำเป็นข้อๆ ลงบนกระดาษ
         ลองเรียงลำดับความสำคัญของแต่ละเรื่อง และใส่กำหนดเวลาที่ต้องทำเสร็จ
         ถ้าเรียงลำดับและจัดตารางงานดูแล้วไหว...ก็ทำ
         ถ้าเรียงแล้วมันไม่ไหวแน่ๆ ก็รีบไปคุยกับหัวหน้าเลยครับ จะยิ่งดีอีกเพราะถ้าคุณรับมาโดยที่ทำจริง
         ก็ไม่ไหวแล้วละก้อ...พองานมีปัญหาอาจโดนด่าหนักกว่าโทษฐานที่ไม่มาบอกกันก่อนว่าไม่ไหว
       

สอง: รู้สึกว่ามันยากมาก เราไม่น่าจะทำได้ คนอื่นควรรับไปทำ
         ถ้ามีแบบนี้เข้ามา...คนอื่นโบ้ยหมด...หนีไปหมดแล้ว...ให้ทำเลยครับ...
         งานแบบนี้ไม่ง่าย...ต้องขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติม...ต้องเหนื่อย...และอาจล้มเหลวได้
         แต่ให้ค่าประสบการณ์สูงมาก...งานแบบนี้ทำบ่อยๆ เก่ง และคนอื่นจะตามคุณไม่ทัน


สรุปว่า...อย่าหนีงานสีเทา...อย่ากลัว Grey area ครับ...เพราะคนส่วนใหญ่กลัวไง...ถ้าคุณกล้าสวน...คุณก็อาจสร้างความแตกต่างได้นะ...



ทำไม 3+1
ทิศทางไม่ชัดเจน...ขาด Direction ฉันไม่รู้ว่าจะเดินทางไหน?

      บริษัทหรือองค์กรเกือบทุกที่มันมีโจทย์หลักอยู่สองข้อ...อยู่บนหัวทุกคนเสมอ..น่ะน้อง....

หนึ่ง "เพิ่มยอดขาย" สอง "ลดต้นทุน" ทั้งชีวิตมันก็วนเวียนอยู่สองข้อนี้แหละ!

ทุกๆ กิจกรรม มักจะมุ่งไปสู่โจทย์สองข้อนี้เสมอ...ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัทจะแยกย่อยละเอียดและหรูหราขนาดไหน

พนักงานที่เก่ง...ไม่จำเป็นต้องได้รับโจทย์ที่ชัดเสมอไป...แต่ต้องอ่านออกได้ด้วยตัวเองว่า โจทย์ของธุรกิจตอนนี้คืออะไร...ทำกำไรเพิ่ม...ลดค่าใช้จ่าย....สร้างภาพลักษณ์....สร้างการรู้จัก....หรือต้องแก้ข้อครหา...ฯลฯ

จะรู้ได้อย่างไร?

ก็คุยกับคนให้เยอะ, สังเกตและตั้งคำถาม, มีสมาธิกับงาน กับอุตสาหกรรมที่อยู่, ลดเล่น FB กับเพื่อนหน่อย รับ Feed ข่าวและความรู้มากๆ หน่อย, อ่านหนังสือบ้าง, ลดเล่นเกมส์หน่อย อย่าเล่นเวลางาน

ตรวจสอบตัวเองนิดว่า ทุกๆ นาที และทุกๆ การกระทำของเรา ได้ตอบโจทย์หลักๆ สองข้อนี้แล้วหรือยัง

ถ้ายัง...แสดงว่า...อย่างน้อยให้ปรับที่ตัวเราก่อนเถอะ

ลองคิดง่ายๆ ว่า เรา กับ CEO ก็เป็นคนเหมือนกับ....ถ้าให้คิดมุ่งเป้าไปที่ธุรกิจต้องมีกำไร...คำถามก็คือ จะเพิ่มยอดยังไง...จะลดต้นทุนยังไง....ทิศทางมันก็มุ่งไปทางเดียวกันนั่นแหละ...บางเรื่อง...ไม่ต้องรอเทวดามาบอก...เราก็คิดเองได้ ^ ^





ที่เขียนมาทั้งหมดนี่...ไม่ได้หมายความว่า ไม่เข้าใจ หรือคิดว่าพนักงานใหม่จะผิดเสมอนะครับ

บ่อยครั้งที่ปัญหาต่างๆ เกิดจากการวางระบบที่ไม่เรียบร้อย กลุ่มผู้บริหารขาดประสบการณ์ หรือมีโครงสร้างการบริหารที่ยังไม่สมบูรณ์ และเหตุผลอื่นอีกสารพัด...ไม่ได้เป็นเพราะพนักงานใหม่ไม่ดี

แต่มันก็ไม่ควรจะเป็นข้ออ้าง...ที่เราจะนำมาใช้หยุดการพัฒนาตัวเอง...

คนจะสำเร็จ หรือ จะรวย จะบรรลุเป้าหมาย ทั้งการงาน และส่วนตัว...

เท่าที่เคยเห็นมา...ส่วนใหญ่เป็นเพราะได้ฝึกตัวเองซ้ำๆ จนมีนิสัยบางอย่าง...

เช่น CEO ชั้นยอด...มีนิสัยที่จะ Focus เวลาไปกับสิ่งที่สร้างคุณค่าเท่านั้น

เช่นเถ้าแก่สุดมั่งคั่ง...เงินก็เยอะ...แต่กลับมีนิสัยประหยัด...ใช้จ่ายน้อย...แต่ลงทุนเยอะ

เช่นนักพัฒนาสินค้าระดับเซียน...มีนิสัยในการทำตัวอย่างให้เร็ว...ยิ่งผิดพลาดเร็ว...ยิ่งได้แก้ให้ถูกต้องเร็ว




เอาเวลาคิดโทษคนอื่น...มาสังเกต...ตั้งคำถามที่กระแทกหัวใจของธุรกิจและงานที่เราทำอยู่ให้ได้...
เอาเวลามาฝึกนิสัย



-------------------------------------------------------------------

ฝากให้นำไปคิดดู


แล้วจะเขียนภาคสองมาคุยกันต่อครับ ^ ^



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น